Quarter 1/2014

เมื่อสงกรานต ป ๒๕๑๔ ตอนที่คณะของเราไปแขงรถ “เอสโซ ขันโตก แรลลี่ ครั้งที่ ๑” (หาอานไดในเลม ๔/๒๕๕๖) แลวไมมีที่พักคางคืนในเชียงใหม เลยตองขับตอไปอยางไรจุดหมาย ..ขอคัดความเดิมมาใหอานสัก เล็กนอย “เราทั้ง ๔ คนตองเก็บของ ออกเดินทางอีกครั้ง..อยางไร จุดหมาย พอเปนคนขับวิ่งขึ้นเหนือ ไปเรื่อยๆ ๓ คนที่เหลือปลอยให พอขับคนเดียว แลวเลนเกมซอน ตาดำ (หลับ) กันทั้งคัน สะดุงตื่น เมื่อผมรูสึกอยากยิงกระตายจนทน

ผูเขียนกับแมและนองสาว

ไมไหว บอกพอขอหยุดรถลงไปปลดทุกข (เบา) หนอยไดไหม ...ทุกคนในรถรวมทั้งพอเห็นดวยจึงเบรก..ทันทีที่รถหยุดผม เปดประตูลงไปเปนคนแรก.. สิ่งที่เห็นขางหนาชางสวยงาม แสงแดดยามเชาตองหมอกบางๆ...อากาศสดชื่นสุดๆ เราทั้ง สี่คนออกจากรถยืนเรียงกันอยูบนชัยภูมิที่คิดวาเหมาะแลว คือขางหุบเหวตื้นๆ แลวรูดซิบกางเกงปลดทุกขอยางมีความสุข ทันใดนั้นเองมีเสียงหัวเราะประสานกันอยางขบขัน (แกมอาย) พวกเราที่กมหนากมตาปลดทุกขอยูนั้นลืมตาเห็นกลุมหญิง สาว (สวย) หันหนามามองเราเต็มสองตา เทานั้นแหละหนุม นอยหนุมใหญไมทันรูดซิบ รีบกระโดดขึ้นรถ ขับออกไปโดย ไมไดร่ำลาแมหญิงเลย..เสียมารยาทจริงๆ” เห็นไหมครับการปลดทุกขในสมัยนั้นมีอุปสรรคมากมาย นี่เปนผูชายนะ ถาเปนผูหญิงจะหนักกวานี้อีก เวลาพอพาเราทั้งครอบครัว คือ พอ แม และลูกทั้ง ๓ คน (อาจมีนาสาวอีกคน) เหตุโกลาหลจะเกิดขึ้นทันที เมื่อแมหรือ นาอยาก “เก็บดอกไม” ขึ้นมา รถของเราจึงตองมีเสื่อจันทบูร ใสไวทายรถดวยเสมอ เวลาคุณผูหญิงทั้งหลายปวดทองขึ้นมา คุณผูชายและคนที่เหลือจะยืนหันหลังถือเสื่อลอมวงปด คุณผูหญิงผูกำลังปลดทุกขเบาอยู...เทานี้ก็สิ้นเรื่อง มีอยูครั้งหนึ่งเกิดเรื่องขึ้นจนได เมื่อพอเคาอยากเปน ลูกผูชายเอาใจนักรองสาว (ตอนนั้นแมไมไดไปดวย ฮาฮาฮา) ที่ขอติดรถจากภูเก็ตกลับกรุงเทพฯ พอขึ้นเจามาปา (มัสแตง) สีแดงเพลิงไดเทานั้นแหละ พอก็เหยียบคันเรงอยางมืออาชีพ ลอเขาไปเกือบ ๒๐๐ กิโลเมตรตอชั่วโมง ..ตอนแรกสาวเจา

ที่นั่งขางหนากับพอไมอยากรัดเข็มขัดนิรภัย แตพอนั่งไปสัก ครึ่งชั่วโมงก็เปลี่ยนใจรีบรัดเข็มขัดฯ มือไมสั่น ...พอเริ่มขึ้นเขา พับผา (สมัยนั้นไมมีทางเลี่ยงตองขึ้นเขา ๑,๐๐๐ โคงอยางเดียว) พอพา “มัสแตง” หักพวงมาลัยเขาโคงเสีย ๒๐ โคงซอน แตละ โคงมีถนนตรงไมถึง ๒๐๐ เมตร แลวเปนโคงหักศอก (ไมงั้นจะ เรียก “เขาพับผา” ไดอยางไร) ถึงตอนนี้สาวเจาเริ่มหนาซีด ปากคอสั่นขอรองให “พี่สรรพ” จอดรถเพราะกลัวจน!!!จะราด แลว (ก็พอเลนขับเขาโคงแค ๑๐๐ กิโลเมตร/ชั่วโมงเอง) พอกลัว!!!จะราดจริงๆ จึงตองยอมจอดแลวหารถประจำทาง (เวลานั้นไมมีรถทัวร) ใหสาวเจากลับกรุงเทพฯ เอง (ออกเงิน คารถใหดวย) ยอนกลับมาเหตุการณที่เราทั้งสี่คนออกเดินทางจาก เชียงใหม หลังจากจบการแขงขัน “เอสโซ ขันโตก แรลลี่” แลว วิ่งรถขึ้นเหนือ ทานผูอานคงเดาถูกนะครับวา เรามาถึงจังหวัด อะไรผมจะบอกใหวา เมื่อเราทั้ง ๔ คนอับอายขายหนาที่ออก ไป “ยิงกระตาย” ไมไดดูตามาตาเรือเสียกอนเราก็ขึ้นรถมุงหนา สู “แมฮองสอน” หลังจากรถวิ่งโคงไปโคงมาเกือบชั่วโมงเราก็ มาถึงตัวเมืองแมฮองสอน มีปายบอกทางที่เริ่มเปนทางตรงวา เหลืออีกแค ๑๐ กิโลเมตรเทานั้น (เหนื่อยแทนพอจริงๆ และ ภูมิใจดวยวาไมเกิดอุบัติเหตุเลย เพราะทั้งรถและคนขับสภาพ เยี่ยมมากถึงแมจะขับมาตลอดคืนก็ตาม เอาไวจะเขียนบอกวิธี ขับรถใหปลอดภัยบนภูเขาที่พอสอนผมไวใหอาน ..เลมนี้เอา แคเรื่อง “สุขา..สุขา” กอน)

Powered by