Quarter 1/2016

ผูเขียนเคยนึกสงสัยวาไทยเรียกลิงมาแตครั้งไร คนดูจากหลักศิลาจารึกครั้งสุโขทัยก็ไมพบ บางที จะเรียกวา “วอก” มากอน จึงเรียกปนักษัตรวา เปงวอก และ วอกหรมาน ที่นาสังเกตก็คือ ในสมัยสุโขทัยใชคำวา วานร ซึ่งเปนภาษาสันสกฤต ชวนใหคิดวาจะรับอิทธิพล มาจากเรื่องรามายณะ แตคำวา “วานร” นักปราชญ หลายทานไดอธิบายวาไมไดหมายถึง “ลิง” ในเรื่อง “พงศาวดารการศึกสงครามของพระรามาวตาร” ของ “ยี อี เยรินี” (G.E.Gerini) ไดอธิบายวา “ดุจหนึ่งคำวา ชาติวานร ก็ไมควรเขาใจวาเปน ชาติวานร คือลิงสัตวเดรัจฉานแทๆ คือเปนแตคำพวก ชาวอินเดียเรียกชาวปาอยางหนึ่งวาชาติวานร... นักปราชญผูรูภาษาสันสกฤตก็อธิบายวา วานร คำนั้น แปลไดสองอยางคือ ชาววัน หรือ ชาวปา อยางหนึ่ง วา แปลวา เหมือน กับ นะระ แปลวา คน รวมความ แปลวา เหมือนคนหรือชาติคลายคน คืออธิบายวา เปนมนุษยชาติชาวปาที่สมมุติเรียกเปรียบกันมาแตกอน วาพวกชาติวานร ดังนั้นแทๆ” สรุปวาชาวอินเดียสมัยดึกดำบรรพเรียกคนปา พวกหนึ่งวา วานร และเขายังเชื่ออีกวาหนุมานไมใชลิง แตเปนมนุษยที่มีหางอยางลิง (Hanuman who was not a monkey, but a monkey tail person.) และเชื่อวา ในเวลานี้หนุมานก็ยังมีชีวิตอยู (เรื่องหนุมานตามทัศนะ ของอินเดียมีเรื่องมาก ถาตองการทราบจะหาโอกาส เลาตอไป)

ตามจดหมายเหตุของจีนกลาววา จีนรูจักลิง มาแตครั้งดึกดำบรรพ เปนสัตวที่คุนเคยกับคนมาก มีตำนานเลาวาเมื่อครั้งพระเจาซิหวั่งตี่สรางปอม ปราการขนาดใหญและพระราชวัง ตองใชหินกอน ใหญๆ จากหัวบานหัวเมืองไกลๆ ใชคนงานมากมาย คนงานไดรับความลำบากยากแคนมาก และเพื่อเปน การบำรุงใจคนงาน ก็โปรดใหนำลิงจำนวนมากมา ผูกติดกับเกวียน ใหคนคนลากเกวียนติดตามขบวน ขนหินไปดวย พวกลิงเหลานี้ก็แสดงทาทางทำตลก คะนองใหพวกคนงานดู ทำใหพวกขนหินคลายความ เหน็ดเหนื่อยไปไดบาง เขาใจวาญี่ปุนคงรูเรื่องนี้ เพราะมีเรื่องทำนอง เดียวกันคือ ในสมัยจักรพรรดิกัมมู เมื่อ ค.ศ. ๗๙๔ (พ.ศ. ๑๓๓๗) พระจักรพรรดิทรงยายจากนครยามาโต ไปยัง นครเกียวโต การสรางพระราชวังใหมตองใช คนงานมาก และเพื่อใหคนงานมีสิ่งบันเทิงใจ จึงได จัดลิงเปนกองเชียร ใหลิงแตละตัวสวมหมวกของ ขาราชการในราชสำนัก แลวเตนไปรอบๆ บางก็ถอด หมวกโยนไปมา บางก็ตีลังกาหกคะเมนใหคนงานดู พวกคนงานก็ไดรับความสนุกสนานเพลิดเพลิน จนลืมความเหน็ดเหนื่อย นี่ก็เปนเรื่องใชลิงใหเปน ประโยชนในสมัยโบราณ รูปลิงของญี่ปุนที่มีชื่อเสียงก็คือ รูปแกะไมเปนรูป ลิงสามตัว ตัวหนึ่งเอามือปดตา ตัวหนึ่งเอามือปดหู และอีกตัวหนึ่งเอามือปดปาก มีคำอธิบายวา ที่เอามือ ปดตาทั้งสองขางก็เพื่อไมใหดูสิ่งที่ชั่วรายหรือมองอะไร ในแงราย ที่เอามือปดหูก็เพื่อจะไดไมฟงเรื่องที่ชั่วราย และเอามือปดปากก็เพื่อจะไดไมพูดในสิ่งที่ไมดีไมงาม ไมเปนมงคลทั้งหลาย ที่โลกวุนวายอยูทุกวันนี้ ก็เพราะ การเห็น การฟง การพูด เปนเหตุใหเกิดความเขาใจผิด อะไรตางๆ รูปลิงสามตัวจึงเปนเครื่องเตือนใจคนที่ พบเห็นไดเปนอยางดี แมคนที่ไมรูหนังสือก็เขาใจได นอกจากนี้ คนญี่ปุนยังเชื่อวารูปลิงเปนเครื่องราง ปองกันพวกตาราย (Evil eyes) หรือภูตผี มิใหมารบกวน เด็ก คือเขาจะทำรูปลิงดวยผา ไม หรือดิน ใหเปน เครื่องเลนของเด็ก และเสื้อผาที่เด็กสวมใสก็จะมีรูปลิง ติดอยูทางดานหลังดวย เชื่อกันวาเปนเครื่องรางของขลัง ใชขับไลภูตผีปศาจได

Powered by