Quarter 1/2014

สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่

â´Â ÍÃØ³ÈÑ¡´Ôì ¡Ôè§Á³Õ

ตำนานเรื่องเลาของชาวบาน นิทานเชิงตำนานเลาถึงสระศักดิ์สิทธิ์แหงนี้วา ครั้งหนึ่ง มีเจาเมืองผูครองนครองคหนึ่ง มีธิดา ๔ องค ชื่อ แกว คา ยมนา และ เกต พระธิดาสามองคแรกมีสวามีเปนคนธรรมดา แตธิดาองคสุดทองมีสวามีเปนลิงเผือก ตอมาเมื่อเจาเมืองรูวาตนเองชราภาพลงมาก จึงคิดจะ ยกเมืองใหกับลูกเขยครองแทน โดยตั้งกติกาวา ใหพระธิดา ชวยกันขุดสระใหเสร็จภายใน ๗ วัน ผูใดขุดสระไดใหญที่สุด ก็จะใหสวามีของธิดาองคนั้นเปนเจาเมืองแทน ธิดาและสวามี ๓ คูแรก ตางชวยกันขุดสระ ยกเวนธิดา องคสุดทองที่ตองขุดเพียงคนเดียว และก็ยังถูกพวกพี่กลั่นแกลง โดยนำดินมาถมใส จนกระทั่งในคืนสุดทาย ธิดาเกตจึงออน วอนใหลิงเผือกชวยเหลือ พญาลิงจึงพาพลพรรคลิงมาชวยขุด จนไดสระใหญกวาสระของธิดาผูพี่ทั้งสาม และยังทำเปนเกาะ กลางน้ำปลูกตนเกตเพื่อเปนสัญลักษณไวดวย พอรุงเชา เจาเมืองเกิดสวรรคตไปกอน บรรดาเสนา อำมาตยพิจารณากันแลว เห็นวา สระของเกตกับลิงเผือก ใหญกวาของคูอื่น จึงมีมติมอบราชสมบัติใหครอบครองแทน ธิดาองคพี่ทั้งสามและสวามีไมพอใจ จึงขโมยพระขรรค ศักดิ์สิทธิ์หนีไป พญาลิงเผือกออกติดตามไปทันกันที่สระเกต พวกพี่จึงขวางพระขรรคลงสระ บังเอิญถูกตนเกตขาดสะบั้น ลมลง และพระขรรคก็จมสูญหายไปดวย ตั้งแตนั้นมาสระ ดังกลาวจึงกลายเปนสระศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีพระขรรค ศักดิ์สิทธิ์อยูภายในสระแหงนี้ ตำนานดังกลาว คงเปนการแตงขึ้นโดยผูคนในรุนหลัง เพื่อเลาถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสระทั้งสี่ ซึ่งเรื่องเลาประเภทนี้ ถือเปนขนบอยางหนึ่งที่มักพบอยูเสมอในสังคมไทยครั้งอดีต เพื่อแสดงใหเห็นถึงมูลเหตุแหงความศักดิ์สิทธิ์ของบริเวณพื้นที่ ตางๆ นั่นเอง

ภูมิสถานของสระโบราณทั้งสี่ สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ตั้งอยูที่บานทาเสด็จ ตำบลสระแกว อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี หางจากตัวเมืองสุพรรณบุรี มาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ ๑๘ กิโลเมตร โดยอยู ใกลกับลำน้ำทาวา ซึ่งเปนลำน้ำสายเกาของแมน้ำสุพรรณบุรี สระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ประกอบดวย สระน้ำโบราณทรง สี่เหลี่ยมผืนผา จำนวน ๔ สระอยูในปริมณฑลเดียวกัน มีชื่อวา สระแกว สระคา สระยมนา และ สระเกษ โดย สระแกว อยู ดานเหนือสุด ถัดลงมาเปน สระคา สวน สระยมนา อยูทาง ทิศตะวันตกของ สระคา และดานลางทางทิศใตเปนที่ตั้งของ สระเกษ ที่มีขนาดใหญที่สุด นอกจากนี้ ในปจจุบันยังพบสระ ขนาดเล็กอีก ๒ สระ ตั้งอยูระหวางสระยมนา และสระเกษ บางทานเรียกวา สระอมฤต ๑ และ ๒ แมวาตำแหนงของสระ ทั้งสองแหงนี้จะปรากฏอยูในผังของกรมศิลปากร มาตั้งแตป พ.ศ.๒๕๐๙ แลว แตกลับไมปรากฏอยูในเอกสารจดหมายเหตุ รุนเกาแตอยางใด จึงสันนิษฐานวานาจะเปนสระที่ขุดขึ้นใหม ในระยะหลัง และมิไดมีความสัมพันธกับสระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่แต อยางใด บริเวณใกลกับสระเกษ มีคันดินอยู ๑ แนว กลาวกันวา แนวคันดินดังกลาวนี้มีทอดตัวยาวไปทางทิศใต จนถึงเมืองเกา แตปจจุบันถูกไถรื้อปรับพื้นที่จนเกือบสิ้นสภาพแลว คงเหลือ เพียงไมมากนัก ดานบนของคันดินมีเจดียที่สรางใหมเมื่อ ประมาณ ๔๐ ปตั้งอยู อยางไรก็ตามผลจากการขุดแตงทาง โบราณคดีของกรมศิลปากร เมื่อป พ.ศ. ๒๕๔๙ พบวาดานลาง ของเจดียมีฐานโบราณสถาน ๑ หลัง กอดวยอิฐ ลักษณะคลาย ฐานของมณฑป แตไมสามารถศึกษารูปแบบที่สมบูรณได เนื่องจากพบหลักฐานหลงเหลืออยูคอนขางนอย

Powered by