ไปกั บ ประวั ติ ตะเกี ยง
â´Â ËÔè §ËŒ ÍÂ
ตะเกี ยงโรมั นสั มฤทธิ์ ใช น้ ำมั นชนิ ดต างๆ เป นเชื้ อเพลิ ง เช น น้ ำมั นมะกอก น้ ำมั นงา น้ ำมั นปลา น้ ำมั นวาฬ วิ วั ฒนาการของตะเกี ยงหยุ ดนิ่ งอยู ที่ ตะเกี ยงโรมั นสั มฤทธิ์ และ เชื้ อเพลิ งที่ ใช เป นเวลานาน ส วนรู ปทรงก็ มี การปรั บเปลี่ ยนให สวยงาม มิ ดชิ ด และกลายเป นสิ นค าหรู หราที่ พบได ตามคฤหาสน ของเศรษฐี เท านั้ น บ านของคนจนกลั บต องใช เที ยนไข นั บแต ยุ คกลางช วง ค.ศ. ๔๗๕ เรื่ อยมาจนกระทั่ งเข าสู ศตวรรษที่ ๑๘ มี การใช พลั งงานและแสงสว างเพิ่ มขึ้ นอย างรวดเร็ ว นั กเคมี ชาว สวิ ตเซอร แลนด ผู หนึ่ งหั นมาปรั บปรุ งทั้ งรู ปทรงและเชื้ อเพลิ งสำหรั บ ใช ในตะเกี ยงโดยเน นที่ ความปลอดภั ย ทนทาน ใช ระยะเวลาในการ เผาผลาญได นานขึ้ น ให แสงสว างมากขึ้ น จึ งทำให โลกจารึ กชื่ อ ของเขาผู นี้ ในฐานะผู ประดิ ษฐ “ตะเกี ยงอาร กองด ” นั่ นคื อ ฟรองซั วส ป แอร เอเม อาร กองด (François Pierre Aimé Argand) แม จะมี ผู คิ ดค นตะเกี ยงน้ ำมั นที่ ใช จุ ดความสว างให มี ความ ปลอดภั ยและให แสงสว างนานขึ้ น แต มนุ ษย ก็ ยั งไม สามารถนำแสง สว างออกไปสู ที่ โล ง ที่ สาธารณะได จนกระทั่ งเกิ ดความก าวหน า ในยุ คอุ ตสาหกรรม ทำให นั กประดิ ษฐ ผู มี ส วนร วมคิ ดค นเครื่ อง จั กรกลไอน้ ำในช วงที่ เขาเป นผู ช วย เจมส วั ตต ได ลองนำถ านหิ น มากลั่ นเป นน้ ำมั นก าด เพื่ อใช เป นเชื้ อเพลิ งหลั กให แสงสว าง และ ได รั บความนิ ยม จนผู คนลื มเลื อนและละทิ้ งการใช น้ ำมั นที่ ทำจาก ไขมั นสั ตว เป นเชื้ อเพลิ งตั้ งแต นั้ นมา เขาคื อ วิ ลเลี ยม เมอร ดอก (William Merdoch) วิ ศวกรชาวสก อตแลนด
เมื่ อสองหมื่ นป ก อนคริ สตกาล มนุ ษย ยุ คหิ นรู จั กใช ประโยชน จากแสงสว าง ในเวลากลางวั นอาศั ยแสงจากดวงอาทิ ตย และ กลางคื นก็ ผลิ ตแสงขึ้ นมาจากสิ่ งประดิ ษฐ ที่ เรี ยกกั นว า “ตะเกี ยง” เพื่ อกั กเก็ บแสงสว าง นั บจากวั นนั้ นมาถึ งวั นนี้ มนุ ษย ไม เคยชิ นกั บความมื ดอี กแล ว “ตะเกี ยง” ตามความหมายของพจนานุ กรมระบุ ว า คื อ เครื่ องใช สำหรั บตามไฟ มี น้ ำมั นเป นเชื้ อ มี หลายแบบหลายชนิ ด โดยตะเกี ยงชุ ดแรกที่ มี การพบและสั นนิ ษฐานว าคื อสิ่ งที่ มนุ ษย ถ้ ำ ใช เก็ บกั กแสงสว าง ยั งเป นเพี ยงถ วยทำด วยหิ นทรายขุ ด และใช ไขมั นสั ตว เป นเชื้ อเพลิ งโดยมี ไส ตะเกี ยงห อยไว ด านข าง เช นที่ เห็ น ในภาพยนตร ที่ เกี่ ยวกั บสมั ยโบราณ นั่ นคื อ กองไฟฟ น คบไฟ หลั งจากมนุ ษย เดิ นทางเข าสู ยุ คกรี ก โรมั น การกั กเก็ บแสง สว างเริ่ มอยู ในภาชนะที่ เปลี่ ยนเป นรู ปพวย มี การเจาะรู ที่ พวยเพื่ อ สามารถปรั บระดั บไส ตะเกี ยงให มี แสงสว างพอเหมาะ อี กทั้ งยั ง ไม ทำให เกิ ดเขม าและควั น และในยุ คนี้ เอง การผลิ ตตะเกี ยงเพื่ อ การค าเริ่ มมี ขึ้ น ทำให เกิ ดตะเกี ยงรู ปทรงสวยงาม และเลี ยนแบบ รู ปทรงที่ มี ในธรรมชาติ เช น ใบปาล ม รู ปคน รู ปสั ตว ตั วตะเกี ยง ทำด วยทองสั มฤทธิ์ จึ งเรี ยกกั นว า “ตะเกี ยงโรมั นสั มฤทธิ์ ” ที่ ใช กั น ในสมั ยโรมั นและอี ยิ ปต โลกแห งแสงสว าง จากไขมั นสั ตว สู น้ ำมั นถ านหิ น
Powered by FlippingBook